การตรวจคัดกรองใหม่ที่จะช่วยให้การตั้งครรภ์ของคุณแม่มีความปลอดภัยมากยิ่งขี้น

การตรวจคัดกรองภาวะครรภ์เป็นพิษ

(PRE-ECLAMPSIA SCREENING)

ความเสี่ยงที่สามารถรู้ก่อนได้ อย่ารอเวลา จนกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการตั้งครรภ์ของคุณ

ป้องกันดีกว่ารักษา ป้องกันดีกว่ารักษา ป้องกันดีกว่ารักษา

ภาวะครรภ์เป็นพิษ...

      เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ อาการหลักที่พบคือ มีความดันโลหิตสูง และพบโปรตีนในปัสสาวะในปริมาณมาก ทั้งนี้ภาวะครรภ์เป็นพิษอาจมีการพัฒนาไปสู่ครรภ์เป็นพิษชนิดรุนแรง ที่จะส่งผลกระทบ เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ ทำให้ทารกไม่เจริญเติบโต ภาวะรกลอกตัว นำไปสู่การคลอดก่อนกำหนดและถึงขั้นเสียชีวิตในครรภ์ได้
      ในขณะที่ผลกระทบร้ายแรงต่อคุณแม่ คือ การชักหมดสติ มีภาวะซีดจากการที่เม็ดเลือดแดงแตกสลาย เกล็ดเลือดต่ำทำให้มีเลือดออกผิดปกติ การทำงานของตับและไตผิดปกติ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มอาการ HELLP syndrome ส่งผลให้ช็อกและเสียชีวิตได้เช่นกัน

สัญญาณอันตราย ที่จะนำไปสู่ภาวะครรภ์เป็นพิษชนิดรุนแรง

ปัสสาวะน้อย

ปัสสาวะน้อย

ปวดหัวอย่างรุนแรง

ปวดหัวอย่างรุนแรง

ปอด

ปอดบวม

นิ้วบวม

มือ เท้าบวม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

อาเจียน

คลื่นไส้ อาเจียน

ตามัว

ตาพร่ามัว

จุก-แน่น-หน้าอก

จุก แน่น หน้าอกหายใจติดขัด

โอกาสในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ

รู้หรือไม่???
     ครรภ์เป็นพิษ เป็นสาเหตุต้น ๆ ของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตในผู้หญิงตั้งครรภ์
     ในแต่ละปี พบหญิงตั้งครรภ์มากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ และมีทารกต้องคลอดก่อนกำหนดมากกว่า 25 ล้านคน จากคุณแม่ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ (1) ผลสำรวจในประเทศไทย ปี 2017 พบว่ามีคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษชนิดรุนแรง ถึง 10.1 ใน 1,000 (2)

        อย่างไรก็ตาม พบว่าคุณแม่ที่มีสุขภาพร่างกายปกติ และไม่มีประวัติความเสี่ยงดังกล่าว ก็สามารถเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้เช่นกัน โดยเฉพาะในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรก

การรักษา

     ปัจจุบันภาวะครรภ์เป็นพิษยังไม่มีการรักษาที่จำเพาะเจาะจง แต่อาการและความผิดปกติที่เกิดขึ้น จะหายไปเองหลังการคลอดหรือยุติการตั้งครรภ์ ทั้งนี้หากคุณแม่ที่ได้รับการประเมินว่ามีความเสี่ยงตั้งแต่เริ่มต้น ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษา ชะลออาการ และเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด โดยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ภาวะครรภ์เป็นพิษ อันตรายกว่าที่คุณคิด...

     สาเหตุในการเกิดครรภ์เป็นพิษนั้นยังไม่แน่ชัด และปัจจัยที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดโรคนั้นมีหลากหลาย ได้แก่ ภาวะเจ็บป่วยเป็นโรคของคุณแม่ ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน และพันธุกรรม ทั้งยังสามารถเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่ไม่มีประวัติความเสี่ยงใด ๆ ได้อีกด้วย ดังนั้น การตรวจวิเคราะห์ความสี่ยงแบบผสม จึงเป็นวิธีที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อทำให้การตรวจคัดกรองภาวะครรภ์เป็นพิษมีความถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น

A new era in Pre-Eclampsia screening

Combined strategy

     การตรวจคัดกรองภาวะครรภ์เป็นพิษแบบผสม คือการใช้หลาย ๆ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องเข้ามาวิเคราะห์ ได้แก่ ประวัติของมารดาและการตั้งครรภ์ ค่าความดันโลหิต ดัชนีชี้วัดการไหลของเลือดในเส้นเลือดของมดลูก และสารชีวเคมีที่กระตุ้นการสร้างหลอดเลือดรก (Placental Growth Factor; PlGF) ที่ใช้บ่งชี้การเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ มาใช้ในการประเมินผลร่วมกัน

ตรวจเลือด
2.Blood test (Biomarker)

สารบ่งชี้ภาวะครรภ์เป็นพิษในเลือด (PlGF)

2/4

ตรวจความดัน
3.Blood pressure

ค่าเฉลี่ยความดันโลหิต

3/4

Ultrasound11
4.Ultrasound

ค่าอัลตราซาวด์ Uterine artery doppler (UTPI)

4/4

ตรวจร่างกาย
1.Interview

ประวัติส่วนตัวและประวัติการตั้งครรภ์

1/4

previous arrow
next arrow
Slider

ตรวจคัดกรองภาวะครรภ์เป็นพิษกับ BRIA

ตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ (10 สัปดาห์ -13 สัปดาห์ 6 วัน) แม้จะยังไม่มีอาการของครรภ์เป็นพิษ

ออกผลเร็ว ภายใน 7 วันทำการ ช่วยให้แพทย์จัดการและทำการรักษาได้ทัน

การตรวจคัดกรองนี้ใช้เพียงเลือดของคุณแม่ จึงไม่เป็นอันตรายต่อแม่และทารกในครรภ์

ตรวจคัดกรองที่มีอัตราการตรวจพบสูงกว่า 85%

การตรวจคัดกรองนี้จะช่วยให้สามารถวางแผนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายที่รุนแรงในอนาคต จึงเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งแม่และทารกในครรภ์

References:
1. Kuklina et al., 2009 (Obstet Gynecol 2009;113:1299–306) 
2. Tippawan Liabsuetrakul and Thida, 2017 (Geographical distribution of hypertensive disorders in pregnancy and their adverse maternal and perinatal outcomes in Thailand) 
3. Parker S et.al., 2010 (Updated National Birth Prevalence estimates for selected birth defects in the United States, 2004-2006. Birth Defects Res A Clin Mol Teratol. 2010) 
4. Duley L., 2009 (The global impact of pre-eclampsia and eclampsia. Semin Perinatol) 
5. Romo A et al., 2009 (Intrauterine growth retardation (IUGR): epidemiology and etiology. Pediatr Endocrinol Rev. 2009) 
6. WHO media centre, fact sheet 2016. http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs363/en/